Last updated: 25 พ.ย. 2563 | 1002 จำนวนผู้เข้าชม |
ฤดูหนาวของญี่ปุ่นเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณเดือนธันวาคมไปจนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี สิ่งที่เมื่อมีโอกาสไปญี่ปุ่น ต้องไปลองสักครั้ง ก็คือการเปิดประสบการณ์การชมวิวทิวทัศน์ในฤดูหนาวสุดอลังการด้วยรถไฟท่องเที่ยว ที่คุณจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของธรรมชาติในฤดูหนาวของญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีเส้นทางไหนบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ
©Photo ac
รถไฟ SL ฟุยุ โนะ ชิทสึเก็น (SL Fuyu-no-Shitsugen Train) เป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำรุ่นปี ค.ศ.1940 ที่เปิดให้บริการเดินรถเป็นพิเศษเฉพาะช่วงฤดูหนาวของทุกปี โดยเริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ในทุกปีรถไฟจะวิ่งให้บริการในช่วงเดือนปลายเดือนมกราคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ รถไฟท่องเที่ยวขบวนนี้วิ่งระหว่างสถานีคุชิโระ (Kushiro) ไปจนถึงสถานีชิเบชะ (Shibecha) ของฮอกไกโด (Hokkaido)
รถไฟหัวจักรไอน้ำขบวนนี้จะวิ่งเต็มกำลังพร้อมเสียงหวูดและพ่นควันสีขาวพวยพุ่งไปตลอดทาง รถไฟขบวนนี้จะวิ่งผ่านไปตามพื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระ (Kushiro Marsh) ท่ามกลางหิมะขาวโพลน จากหน้าต่างรถไฟสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของดินแดนสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาในช่วงฤดูหนาวได้อย่างเต็มอิ่ม ถ้าโชคดีอาจจะมีโอกาสได้พบสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ อาทิ นกกระเรียน กวางเอโซะฮอกไกโดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ภายในขบวนรถไฟก็ยังมีคาเฟ่ที่จำหน่ายขนม ข้าวกล่องรถไฟหรือเอะคิเบ็น (Ekiben) รวมถึงของที่ระลึกต่างๆ และบนรถไฟยังมีเตาโบราณลักษณะคล้ายตุ๊กตาดารุมะ (Daruma) ซึ่งเป็นตุ๊กตานำโชคของญี่ปุ่น ผู้โดยสารสามารถซื้อปลาหมึกแห้งที่มีจำหน่ายบนรถไฟมาปิ้งบนเตาทานได้ระหว่างโดยสารรถไฟ กลิ่นหอมของปลาหมึกย่างหอมตลบอวบอวลจนเกินห้ามใจ
4. รถไฟเอะจิโกะโทะคิเมะคิ รีสอร์ท เซ็ทสึเง็กกะ (Echigo Tokimeki Resort-SETSUGEKKA), นีงะตะ (Niigata)
รถไฟเอะจิโกะโทะคิเมะคิ รีสอร์ท เซ็ทสึเง็กกะ (Echigo Tokimeki Resort-SETSUGEKKA) คือรถไฟห้องอาหารที่จะสร้างประสบการณ์สุดหรูจากการรับประทานอาหารชั้นเลิศกับวิวสุดพิเศษไม่เหมือนใครบนเส้นทางระหว่างไปสถานีอิโตะอิกะวะ (Itoikawa) จนถึงสถานีโจเอะสึเมียวโกะ (Joetsu Myoko)
ขบวนรถไฟนี้ตกแต่งทั้งภายนอกและภายในได้อย่างหรูหรา มีกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดรับแสงและเปิดให้เห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกรถไฟได้อย่างเต็มที่ ขบวนรถไฟประกอบไปด้วยรถไฟ 2 ตู้ โดยตู้ที่ 1 จะมีโซนที่นั่งชมวิวและทานอาหาร High Deck ที่เป็นเหมือนจุดชมวิวและถ่ายภาพ และอีกส่วนคือห้องน้ำ ส่วนของตู้ที่ 2 นั้นจะประกอบไปด้วย Sakura Lounge เป็นบาร์เล็ก ๆ ให้ลูกค้าได้ยืนจิบเครื่องดื่มชมวิวสองข้างทางได้อย่างเพลิดเพลิน และโซนห้องรับประทานอาหารที่ตกแต่งได้อย่างหรูหรา เพื่อให้สมกับอาหารชั้นเลิศที่ถูกรังสรรค์มาอย่างดีจากเชฟมากประสบการณ์และวัตถุดิบท้องถิ่นที่หลากหลาย นอกจากจะอิ่มเอมกับอาหารชั้นเลิศแล้ว ยังได้รื่นรมย์ไปกับทิวทัศน์อันงดงามของท้องทะเลและภูเขาอีกด้วย นับเป็นการเดินทางโดยรถไฟที่จะได้เต็มอิ่มกับทัศนียภาพอันเต็มไปด้วยเสน่ห์งดงามของจังหวัดนีงะตะในทุกๆ ฤดูกาล
นอกจากนี้ขบวนรถไฟจะจอดให้ผู้โดยสารได้แวะเดินเที่ยวสัมผัสกับชาวเมืองในบางสถานีอีกด้วย เรียกได้ว่าทริป 3 ชั่วโมงนี้จะเต็มไปด้วยความสุขและประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีใครเหมือนอย่างแน่นอน
รถไฟ Oykot (Joyful Train Oykot) โดยคำว่า Oykot เป็นการสะกดคำแบบกลับหลังจากคำว่า Tokyo เพื่อสื่อถึงความแตกต่างจากเมืองหลวงโตเกียวนั่นเอง รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟท่องเที่ยวหนึ่งในเครือ Joyful Trains ที่วิ่งระหว่างสถานีนะงะโนะ (Nagano) ในจังหวัดนะงะโนะ (Nagano) กับ สถานีโทคะมะจิ (Tokamachi) ในจังหวัดนีงะตะ (Niigata) โดยรถไฟ Oykot มีคอนเซ็ปต์ให้ชวนนึกถึงชนบทของประเทศญี่ปุ่น เหมือนกับการที่ได้หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่กลับไปสู่บ้านคุณตาคุณยาที่อบอุ่นนั่นเอง
ในระหว่างการเดินทางนั้น รถไฟจะหยุดที่สถานีอียะมะ (Iiyama) ที่สถานีนี้สามารถลงจากรถเพื่อชมงานนาฬิกาที่ประณีตได้ที่ Karakuri Clock โดยทุกครั้งที่นาฬิกาตีขึ้นชั่วโมงใหม่ สามารถชมและฟังตุ๊กตาไขลานออกมาเต้นจำลองการแสดงพร้อมเพลงพื้นบ้านยอดนิยม ภายในสถานียังมีร้านหลายแห่งที่จำหน่ายอาหารและของขบเคี้ยวที่เป็นของท้องถิ่นอยู่ด้วย และสถานีโมริมิยะโนะฮะนะ (Morimiyanohana) ที่นั่นเป็นจุดที่มีหิมะตกหนักที่สุดในบริเวณสามารถลงไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายถ่ายภาพสวยๆ กันได้
ตลอดเส้นทางของการเดินทางด้วยรถไฟ Oykot (Joyful Train Oykot) จะวิ่งผ่านชนบทที่อุดมสมบูรณ์ของท้องนา ในฤดูร้อนก็จะเห็นเขียวขจีตลอดสองข้างทาง แต่ถ้าหากเลือกเดินทางในช่วงฤดูหนาว บรรยากาศรอบตัวนั้นจะถูกเติมเต็มไปด้วยหิมะขาวนวลตลอดเส้นทาง เป็นบรรยากาศพิเศษที่ควรค่าแก่การลองไปเที่ยวดูสักครั้ง ภายในขบวนรถไฟยังมีการแสดงเพลงโฟล์คซองและการเล่านิทานพื้นบ้านให้ผู้โดยสารได้ร่วมสนุกอีกด้วย เรียกได้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะไม่มีทางเบื่ออย่างแน่นอน ทำให้การเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เต็มไปด้วยความประทำใจไม่รู้ลืม
ขอบคุณที่มาจาก @JNTO องค์การส่งเสริมกรท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น
22 ม.ค. 2567
29 ม.ค. 2567
30 ม.ค. 2567